เมนู

ส่วนศีลของตนเองที่บริสุทธิ์ดีแล้ว ย่อมนำ
ความสุขในภพหน้ามาให้ได้.

จบ สีลวีมังสชาดกที่ 2

อรรถกถาสีลวีมังสชาดกที่ 2


พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พราหมณ์ผู้ทดลองศีลคนหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
ว่า สีลํ เสยฺโย ดังนี้.
ได้ยินว่า พระราชาทรงเห็นพรามณ์นั้นว่า พราหมณ์นี้
เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยศีล จึงทรงตั้งให้ยิ่งกว่าพราหมณ์ทั้งหลายอื่น.
พราหมณ์นั้นคิดว่า พระราชาทรงกระทำความเคารพนับถือเรา ทรง
เห็นเราว่าเป็นผู้มีศีล หรือว่าทรงเห็นว่าเป็นผู้ประกอบด้วยการจำ
ทรงสุตะไว้ได้ เราจักทดลองดูก่อนว่าศีลหรือสุตะสำคัญกว่ากัน.
วันหนึ่งพราหมณ์นั้นจึงหยิบเอากหาปณะจากแผ่นกระดานนับเงินของ
เหรัญญิกไป. เหรัญญิกก็ไม่พูดอะไร เพราะความเคารพ. แม้ในครั้ง
ที่สอง ก็ไม่พูดอะไร แต่ในครั้งที่สาม เหรัญญิกกล่าวหาว่า เป็นโจร
ปล้นเงิน แล้วให้จับพราหมณ์นั้นมาถวายพระราชา เมื่อพระราชาตรัส
ว่า พราหมณ์นี้ทำอะไร จึงกราบทูลว่า ปล้นทรัพย์พระเจ้าข้า. พระ-
ราชาตรัสถามว่า เขาว่า จริงหรือพราหมณ์. พราหมณ์กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระบาทมิได้ปล้นทรัพย์ แต่ข้าพระบาทมีความ

รังเกียจสงสัยว่า ศีลเป็นใหญ่หรือว่าสุตะเป็นใหญ่ ข้าพระบาทนั้น
เมื่อจะทดลองว่า บรรดาศีลและสุตะนั้น อย่างไหนหนอเป็นใหญ่ จึง
หยิบเอากหาปณะไป 3 ครั้ง เหรัญญิกนี้ให้จำข้าพระบาทนั้นแล้วนำ
มาถวายพระองค์ บัดนี้ ข้าพระบาททราบแล้วว่า ศีลใหญ่กว่าสุตะ
ข้าพระบาทไม่มีความต้องการอยู่ครองเรือน ข้าพระบาทจักบวช. ดังนี้
แล้ว ขอให้ทรงอนุญาตการบวช แล้วไม่เหลียวดูประตูเรือนเลยไป
ยังพระเชตวัน ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา พระศาสดาทรงสั่งให้
บรรพชาและอุปสมบทแก่พราหมณ์นั้น. ท่านอุปสมบทแล้วไม่นาน
เจริญวิปัสสนา ได้ดำรงอยู่ในอรหัตตผล.
ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโส
ทั้งหลาย พราหมณ์ชื่อโน้นทดลองศีลของตนแล้ว ก็บวชเจริญวิปัสส-
นา ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? เมื่อ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พราหมณ์นี้เท่านั้นทดลองศีลแล้วบรรพชาบรรลุพระอรหัต
เฉพาะในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน บัณฑิตทั้งหลาย
ทดลองศีลแล้วบรรพชา ได้กระทำที่พึ่งแก่ตนแล้วเหมือนกัน. แล้ว
ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพระพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ใน
นครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว

เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกศิลาเสร็จแล้ว กลับไปเมืองพาราณาสี
แสดงให้พระราชา ทอดพระเนตร. พระราชาได้ประทานตำแหน่ง
ปุโรหิตแก่พระโพธิสัตว์นั้น พระโพธิสัตว์นั้นรักษาศีลห้า. ฝ่ายพระ-
ราชาก็ทรงเคารพพระโพธิสัตว์นั้นทรงเห็นว่าเป็นผู้มีศีล. พระโพธิ-
สัตว์นั้นคิดว่า พระราชาทรงเคารพเห็นว่าเราเป็นผู้มีศีล หรือทรง
เห็นว่าเป็นผู้ประกอบการทรงจำสุตะไว้ได้. เรื่องทั้งปวงเหมือนเรื่อง
ปัจจุบันนั่นแล. แต่ในที่นี้ พราหมณ์นั้นกล่าวว่า บัดนี้ เรารู้แล้วว่า
ศีลเป็นใหญ่สำคัญว่าสุตะ. จึงได้กล่าวคาถา 5 คาถานี้ว่า :-
ข้าพระองค์ได้มีความสงสัยว่า ศิลประ-
เสริฐหรือสุตะประเสริฐ ศีลนี่แหละประเสริฐ
กว่าสุตะ ข้าพระองค์ไม่มีความสงสัยแล้ว.
ชาติและวรรณะเป็นของเปล่า ได้สดับ
มาว่า ศีลเท่านั้นประเสริฐที่สุด บุคคลผู้ไม่
ประกอบด้วยศีล ย่อมไม่ได้ประโยชน์เพราะ
สุตะ.
กษัตริย์และแพศย์ผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
ไม่อาศัยธรรม ชนทั้งสองนั้น ละโลกนี้ไป
แล้ว ย่อมเข้าถึงทุคติ.
กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร์ คน

จัณฑาลและคนเทหยากเหยื่อ ประพฤติธรรม
ในพระธรรมวินัยนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เสมอกัน
ในไตรทิพย์
เวท ชาติ แม้พวกพ้อง ก็ไม่สามารถจะ
ให้อิสริยยศหรือความสุขในภพหน้าได้ ส่วน
ศีลของตนที่บริสุทธิ์ดีแล้ว ย่อมนำมาซึ่งความ
สุขในภพหน้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลเมว สุตา เสยฺโย ความว่า
ศีลเท่านั้นยิ่งกว่าปริยัติคือสุตะ โดยร้อยเท่า พันเท่า. ก็แหละครั้น
กล่าวอย่างนี้แล้วจึงตั้งหัวข้อว่า ชื่อว่าศีลนี้มีอย่างเดียวด้วยอำนาจ
สังวรศีล มีสองอย่าง ด้วยอำนาจจารีตศีลและวารีตศีล มีสามอย่าง
ด้วยอำนาจศีลที่เป็นไปทางกาย วาจา และใจ มีสี่อย่าด้วยอำนาจ
ปาติโมกข์สังวรศีล อินทรียสังวรศีล อาชีวปาริสุทฐิศีล และปัจจย-
สันนิสิตศีล แล้วได้กล่าวคุณของศีลให้พิสดาร. บทว่า โมฆา ได้แก่
ไร้ผล คือเป็นของเปล่า. บทว่า ชาติ ได้แก่ การเกิดในขัตติยสกุล
เป็นต้น. บทว่า วณฺโณ ได้แก่ ผิวพรรณแห่งร่างกาย คือ ความ
เป็นผู้มีรูปงาม. ก็เพราะเหตุที่ความถึงพร้อมด้วยชาติก็ดี ความถึง
พร้อมด้วยวรรณะก็ดี ย่อมไม่สามารถจะให้ความสุขในสวรรค์ แก่คน
ผู้เว้นจากศีล ฉะนั้น พระโพธิสัตว์นั้น จึงกล่าวความถึงพร้อมด้วย
ชาติและวรรณะทั้งสองนั้นว่าเป็นโมฆะ. ด้วยบทว่า สีลเมว กิร นี้ ท่าน

กล่าวตามที่ได้ยินได้ฟังมา แต่ไม่ได้รู้ด้วยตนเอง. บทว่า อนฺเปตสฺส
แปลว่า ผู้ไม่ประกอบแล้ว. บทว่า สุเตนตฺโถ น วิชฺชติ ความว่า
บุคคลผู้เว้นจากศีล ย่อมไม่มีความเจริญอะไรในโลกนี้หรือโลกหน้า
เพราะเหตุสักว่าปริยัติคือสุตะ. จากนั้นได้กล่าวคาถา 2 คาถาข้างหน้า
ต่อไป เพื่อจะแสดงถึงความที่ชาติเป็นของเปล่า. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า เต ปริจฺจชฺชุโภ โลเก ความว่า คนไม่มีศีลเหล่านั้นละโลก
ทั้งสองคือ เทวโลกและมนุษยโลก ย่อมเข้าถึงทุคติ. บทว่า จณฺฑาล-
ปุกฺกุสา
ได้แก่ คนจัณฑาลผู้ทิ้งซากศพ และคนชาติปุกกุสะผู้ทิ้ง
ดอกไม้. บทว่า ภวนฺติ ติทเว สมา ความว่า ชนเหล่านั้นทั้งหมด
บังเกิดในเทวโลก ด้วยอานุภาพแห่งศีล ชื่อว่าเป็นผู้เสมอกัน คือไม่
พิเศษกว่ากัน ถึงการนับว่าเทพเหมือนกัน. ท่านกล่าวคาถาที่ 5 เพื่อ
แสดงว่า สุตเป็นต้นทั้งหมดเป็นของเปล่า. เนื้อความของคาถาที่ 5 นั้น
ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า เวทเป็นต้นเหล่านี้ เว้นการให้เพียงสักว่ายศ
ในโลกนี้เสีย ย่อมไม่สามารถจะให้ยศหรือสุขในโลกหน้า คือในภพ
ที่ 2 หรือภพที่ 3 ได้ส่วนศีลของตนเท่านั้นอันบริสุทธิ์ ย่อมอาจให้
ยศหรือสุขนั้นได้.
พระมหาสัตว์กล่าวคุณของศีลอย่างนี้แล้ว จึงขอให้พระราชา
ทรงอนุญาตการบวช แล้วเข้าไปยังประเทศหิมพานต์ในวันนั้นเอง
บวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดแล้ว ได้มีพรหมโลกเป็น
ที่ไปในเบื้องหน้า.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรง
ประชุมชาดกว่า พราหมณ์ผู้ทดลองศีลแล้วบวชเป็นฤๅษีในครั้งนั้น
ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสีลวีมังสชาดกที่ 2

3. หิริชาดก


การกระทำที่ส่อให้รู้ว่ามิตรหรือมิใช่มิตร


[763] ผู้ใดหมดความอาย เกลียดชังความมี
เมตตา กล่าวอยู่ว่าเราเป็นมิตร. สหายของท่าน
ไม่ได้เอื้อเฟื้อทำการงานที่ดีกว่า บัณฑิตรู้จัก
ผู้นั้นได้ดีว่า ผู้นี้มิใช่มิตรสหายของเรา.
[764] เพราะว่าบุคคลทำอย่างไร ก็พึงกล่าว
อย่างนั้น ไม่ทำอย่างไร ก็ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น
บัณฑิตทั้งหลายรู้จักบุคคลนั้นว่า ผู้ไม่ทำให้
สมกับพูด เป็นแต่กล่าวอยู่ว่า เราเป็นมิตร
สหายของท่าน.
[765] ผู้ใดไม่ประมาทอยู่ทุกขณะ มุ่งความ
แตกร้าว คอยแต่จับความผิด ผู้นั้นไม่ชื่อว่า
เป็นมิตร ส่วนผู้ใดอันคนอื่นยุให้แตกกันไม่
ได้ ไม่มีความรังเกียจในมิตร นอนอยู่อย่าง
ปลอดภัย เหมือนบุตรนอนแอบอกมารดา
ฉะนั้น ผู้นั้นนับว่าเป็นมิตรแท้.